วันศุกร์ที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

บทที่ 29 เคลื่อนไหวดั่งสายลม

IMG0106





ด้วยการที่เราสามารถทำความเข้าใจ ในความเป็นเนื้อหาแห่งธรรมชาติที่มันเป็นของมันอยู่อย่างนั้นอยู่แล้ว ในความว่างเปล่าไร้ความหมายแห่งความเป็นตัวเป็นตน ของมันอยู่อย่างนั้นได้อย่างตระหนักชัดแจ้ง โดยเป็นความเข้าใจอย่างถ้วนถี่ไม่มีความลังเลสงสัยอันใดเหลืออยู่ และสามารถซึมซาบกลมกลืนกลายเป็นเนื้อหาเดียวกัน กับความเป็นธรรมชาตินั้นได้อย่างแนบสนิท ชนิดที่เรียกได้ว่ามันเป็นหนึ่งเดียวในความเป็นธรรมชาติ โดยไม่อาจแยกเราและความเป็นธรรมชาติ ให้มีความแตกต่างออกเป็นสองสิ่งได้เลย ความเป็นเนื้อหาเดียวกันในความเป็นไปตามสภาพธรรมชาตินั้น มันจึงเป็น "ธรรมชาติ" ในความเป็นเช่นนั้นเองของมันอยู่อย่างนั้น อย่างคงที่ในสภาพแห่งธรรมชาตินั้น โดยไม่มีวันที่จะแปรผันไปเป็นอย่างอื่นในความหมายอื่นได้เลย การที่เป็นเนื้อหาเดียวกันอยู่อย่างนั้นระหว่างเรากับธรรมชาตินั้น มันจึงเป็น 

ความตั้งมั่นในความเป็นธรรมชาติอยู่อย่างนั้น เป็นความตั้งมั่นที่มีความหมายถึง มันทำให้เราได้กลมกลืน เป็นเนื้อหาเดียวกันกับธรรมชาติโดยไม่มีความแตกต่าง ก็ธรรมชาติแห่งการตั้งมั่นอันคือธรรมชาติแห่งความกลมกลืน เป็นเนื้อหาเดียวกันแบบไม่มีความแตกต่าง อันทำให้เรา คือ ธรรมชาติ ธรรมชาติ คือ เรา ชนิดที่เรียกว่าแยกกันไม่ออก เป็นไปในความแนบเนียนอยู่ในความกลมกลืนอยู่อย่างนั้น ก็ด้วยขันธ์ทั้งห้าที่ถูกอุปมาไปแบบนั้นว่า นี่คือ กายเรา อันเป็นไปแห่งธาตุขันธ์ที่เราได้อาศัยอยู่อย่างนี้ และยังมีลมหายใจ ที่ขยันหายใจเข้าหายใจออกอยู่แบบนี้ อันว่านี่คือเรา คือชีวิตเรา และมันยังมีความเคลื่อนไหว สามารถกะพริบตา 

กระดุกกระดิกไปมาได้ ในท่ามกลางอิริยาบถทั้งสี่ คือ ยืน นั่ง เดิน นอน เมื่อเรายังต้องมีการไปและการมา ด้วยการเคลื่อนไหวในชีวิตประจำวันด้วยขันธ์ธาตุเหล่านี้ ก็ด้วยความเป็นธรรมชาติแห่งความว่างเปล่า ไร้ความหมายแห่งความเป็นตัวเป็นตนของมันอยู่อย่างนั้น มันจึงเป็นธรรมชาติที่มีความสงบนิ่ง สงบตามธรรมชาติของมันที่อยู่ภายในความเป็นไป อันปราศจากความ

เคลื่อนไหวแห่งภาวะใด ๆ ของมันอยู่อย่างนั้น เพราะฉะนั้นการเคลื่อนไหวไปมา มันก็เป็นเพียงการเคลื่อนไหวไปมาอยู่อย่างนั้น หามีผลหรือส่งผลกระทบอันจะทำให้เป็นเหตุเป็นปัจจัย ให้ธรรมชาติอันคือสภาพความสงบนิ่งที่แท้จริง ซึ่งปราศจากความเคลื่อนไหวแห่งภาวะใดๆ มันจะเปลี่ยนแปลงเนื้อหาของมันตามธรรมชาตินั้นไปเป็นอย่างอื่น เพราะความเป็นธรรมชาติมันก็คือ สภาพความเป็นของมัน อยู่อย่างนั้นเองอยู่แล้ว ไม่สามารถมีใครหรือสิ่งใดๆเข้ามาทำ ให้ความเป็นธรรมชาติแห่งสภาพตัวมันเอง เปลี่ยน

ไปเป็นอื่น ๆได้เลย ด้วยเหตุผลความเป็นจริงเหล่านี้ การที่เป็นเนื้อหาเดียวกันกับธรรมชาติแห่งพุทธะ และต้องเคลื่อนไหวไปมาในอิริยาบถต่าง ๆ นี้ มันจึงเป็นการเคลื่อนไหวไปในความสงบอย่างแท้จริง เป็นความสงบ ซึ่งปราศจากการเคลื่อนไหวแห่งภาวะใดๆภายในธรรมชาติ มันจึงเป็นความสงบนิ่งอย่างแท้จริง มันเป็นความสงบนิ่ง แต่เคลื่อนไหวได้ เคลื่อนไหวไปดุจดั่ง "สายลม" ที่พลิ้วไหวและแผ่ซ่าน ด้วยความสงบนิ่งแผ่วเบา ในทั่วทุกหนแห่ง หนังสือ "คำสอนเซน ภาค เซนในสายเลือด ปรมาจารย์ตั๊กม้อ" ครู

สอนเซน อาจารย์ราเชนทร์ สิมะสุนทร 28 กุมภาพันธ์ 2557


IMG_00000000000213

วันจันทร์ที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

art of asia

P_0002771800302010



ประวัติศาสตร์ของภาพวาดจีนค่อนข้างยาวนาน ได้มีการขุดพบเครื่องเคลือบปั้นดินเผาที่มีอายุราว 5,000-6,000 ปี ในประเทศจีน มีภาพลวดลายพืช สิ่งทอ และสัตว์สีสันสวยงาม สะท้อนให้เห็นถึงการดำเนินชีวิตแบบดั้งเดิมของสังคมมนุษย์ที่ใช่การจับปลา และการล่าสัตว์เพื่อเลี้ยงชีพ สิ่งนี้ถือได้ว่าเป็นต้นกำเนิดของภาพวาดจีน ปี ค.ศ.1949 ประเทศจีนได้ขุดพบภาพวาดบนผืนผ้า รูปคน มังกรและหงส์ ในสุสานกษัตริย์รัฐฉู่สมัยจ้านกั๋ว (ประมาณ ปี 475 - 221 ก่อนคริสต์ศักราช) ที่เมืองฉางซา ซึ่งถือเป็นภาพวาดบนผืนผ้าที่เก่าแก่ที่สุดที่ถูกค้นพบในประเทศจีนมีความยาว ประมาณ 30 เซนติเมตร และกว้างประมาณ 20 เซนติเมตร ภาพเขียนจีน จงกั๋วฮว่า เป็นองค์ประกอบสำคัญของศิลปวัฒนธรรมจีน ภาพเขียนจีนจะใช้พู่กันกับ กระดาษเซวียนจื่อ และน้ำหมึกแร่และสีธรรมชาติเป็นอุปกรณ์ในการวาดภาพ กระดาษเซวียนจื่อ เหมาะที่สุดสำหรับการวาดภาพจีน เนื่องจากมีคุณสมบัติในการดูดซับ


หมึก จิตกรที่มีความช่ำชองในการใช้พู่กันที่อยู่ในมือกวัดแกว่งลงบนกระดาษเซวียนจื่อได้อย่างคล่องแคล่ว ไม่ว่าจะเป็นรูปทิวทัศน์ คน ดอกไม้ นก แมลง หรือปลา ก็ล้วนมีความน่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง จิตรกรบางคน ยังเป็นกวีและนักอักษรศิลป์ด้วย เพราะพวกเขาเหล่านั้นมักจะเขียนบทกวีไว้ที่ใต้ภาพที่ตัวเองวาดเสมอ และสุดท้ายจะลงนามพร้อมตราประทับ ทำให้บทกวี อักษรศิลป์ ภาพวาด และตราประทับถูกหล่อหลอมอยู่ในเบ้าหลอมเดียวกัน จึงเรียกรวมว่า สี่ล้ำเลิศ (ซื่อเจว๋) ของภาพวาดจีน ภาพวาดจีนมีรูปแบบ 2 ชนิด คือ ภาพวาดแบบถ่ายทอดความรู้สึก กับภาพวาดแบบงานวิจิตร ภาพวาดแบบถ่ายทอดความรู้สึก จะเป็นการวาดแบบใช้ลายเส้นง่าย ๆ แสดงให้เห็นถึงจินตนาการส่วนภาพวาดแบบงานวิจิตร จะเป็นการวาดภาพที่บอกเล่าเรื่องราวอย่างละเอียดภาพเขียนจีนพอจะแบ่งออกได้เป็น 6 ประเภท คือ ภาพภูมิประเทศภาพคน ภาพดอกไม้และนก ภาพต้นไผ่และก้อนหิน ภาพสัตว์ ภาพพระราชวังและสิ่งก่อสร้าง แต่ภาพที่เห็นบ่อย ๆ เป็นภาพต้นไม้ ดอกไม้และสัตว์ โดยเฉพาะภาพต้นไผ่ที่เห็นกันบ่อย ๆ นั้น มีความหมายแฝงอยู่ คือ จาก


ลักษณะลำต้นเป็นข้อ ๆ คนจีนให้ความหมายว่าจะเจริญขึ้นเรื่อย ๆ ดีขึ้นเรื่อย ๆ ตามลำดับ ส่วนลักษณะลำต้นที่ตรงไม่คดงอมีความหมายว่า หากเปรียบเป็นคน ก็เป็นคนที่ซื่อตรงไม่โกหกหลอกลวง นอกจากต้นไผ่ ยังมีรูปบางรูปที่เห็นบ่อยและมีความหมายในตัวเช่นกัน อาทิ ดอกเหมย คนจีนถือว่าเป็นดอกไม้ชนิดเดียวของประเทศที่บานสู้หิมะในฤดูหนาว ไม่บานแข่งกับดอกไม้อื่น จึงเปรียบเสมือนคนที่ไม่สู้กับคนอื่น สงบเสงี่ยม ไม่อวดตัว ดอกบัว เปรียบเหมือนคุณค่าของความงามที่สามารถโผล่ออกมาจากโคลนตมได้โดยไม่เปรอะ เปื้อน จึงเป็นความสง่างามที่สูงค่า ดอกโบตั๋น บ่งบอกถึงความมั่งมี มั่งคั่ง ร่ำรวย นกกระเรียน ถือเป็นสัตว์ที่มีอายุยืน จึงสื่อความหมายต่อผู้ที่ได้เห็นภาพหรือผู้ได้รับภาพว่า ขอให้มีอายุยืนยาว ม้า ภาพม้าที่เห็นมักจะกำลังทำท่าทะยานไปข้างหน้า หมายถึง ความก้าวหน้าไปไกล ความเจริญรุ่งเรือง
ข้อมูลจาก






IMG_0000010000170016201810

วันเสาร์ที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

บทที่ 17 โลกแห่งความสมบูรณ์



บทที่ 17 โลกแห่งความสมบูรณ์

หนังสือ "คำสอนเซน ภาค เซนในสายเลือด ปรมาจารย์ตั๊กม้อ" ครูสอนเซน อาจารย์ราเชนทร์ สิมะสุนทร 13 กุมภาพันธ์ 2557 F/B นิกายเซน หนังสือใจต่อใจในการฝึกตน

การปรากฏแห่งภาวะ มันจะต้องเป็นไปในทางด้านใดด้านหนึ่งอยู่เสมอ เพราะภาวะทุกภาวะแห่งการปรากฏขึ้น มันล้วนคือการปรุงแต่งที่เป็นผลมาจากการยึดมั่นถือมั่น ซึ่งเป็นความยึดมั่นที่ออกมาจากอุปนิสัยความเคยชิน ที่หมักหมมจนกลายเป็นอนุสัยแห่งกมลสันดาน ตามความชอบความชังของบรรดาสรรพสัตว์ทั้งหลาย ถ้าไม่แสดงออกมาทางด้านหนึ่ง ก็ต้องแสดงออกไปในอีกทางด้านหนึ่งเสมอ ทั้งนี้เป็นเพราะอวิชชาความไม่รู้ผู้เป็นนายเรา มันสามารถเข้ามาแทรกซึมสิงสู่บังคับบัญชาใจของเรา ให้เป็นไปในทางอำนาจแห่งเนื้อหาของมันได้อยู่เสมอทุกเมื่อเชื่อวัน นายซึ่งมีเราเป็นทาสที่คอยก้มหัวให้มันอยู่ตลอดเวลา ทั้งนี้เพราะความหอมหวานในมายา แห่งความเป็นตัณหา อุปาทาน ความทะยานอยาก ซึ่งมันบังคับให้เราเดินไปตามทางแห่งมันทุกฝีก้าวอย่างไม่มีที่สิ้นสุด เหมือนเหรียญซึ่งมีอยู่สองด้าน เมื่อ

คุณกลับเหรียญด้านแห่งความรัก ความเกลียดชังก็จะปรากฏตัวขึ้นมาอย่างทันทีทันใด มันคือโลกแห่งปรากฏการณ์ความเป็นมายา เป็นโลกแห่งการเกิดขึ้นของทวิภาวะหรือภาวะแห่งความเป็นของคู่ มีความแปรเปลี่ยนจากภาวะหนึ่งสู่ความเป็นภาวะหนึ่งอยู่อย่างนั้น ก็ด้วยอาศัยเหตุปัจจัยในเหตุปัจจัยหนึ่ง เมื่อหมดในเหตุปัจจัยนั้นๆแล้ว เหตุปัจจัยใหม่จึงเข้ามาแทนที่อยู่อย่างสม่ำเสมอ มันเป็นภาวะที่มาแล้วต้องจากไปมันไม่เคยมีความคงทนไม่เคยมีความสมบูรณ์แบบ ที่จะอยู่กับเราได้ตลอดไป โลกแห่งปรากฏการณ์จึงเป็นโลกที่มีแต่ความพร่องอยู่เป็นนิจ และในความพร่องนี้เองที่ทำให้มนุษย์ปุถุชนผู้มีความมืดบอด พยายามหาทุกสิ่งทุกอย่างเข้ามาเติมเต็มในความพร่องนั้น ด้วยความไม่รู้และความอยากแห่งตน ซึ่งแท้จริงมันก็ไม่มีวันที่จะทำความพร่องซึ่งอยู่ในสภาพถาวรนี้ ให้เต็มเปี่ยมขึ้นมาได้ มันไม่มีทางที่จะเป็นไปได้เลย ก็โดยรูปลักษณ์ของตัวมันเองในทวิภาวะ หรือความเป็นภาวะแห่งความเป็นคู่ ไม่ว่าจะเป็น ดีหรือชั่ว มืดหรือสว่าง สมหวังหรือผิดหวัง สะอาดหรือสกปรก ความร้อนหรือความเย็น ปฏิบัติหรือไม่ได้ปฏิบัติ รู้แจ้งหรือมืดมัว บรรลุหรือไม่บรรลุ มันย่อมไม่สามารถคงความเป็นสภาพของมันให้อยู่

อย่างนั้นได้ตลอดไป เพราะโดยแท้จริงสิ่งเหล่านี้ล้วนแต่เป็นมายาหามีตัวมีตนไม่ เมื่อหมดเหตุปัจจัยที่ทำให้มันได้แสดงปรากฏการณ์ของมันออกมา มันก็หยุดการทำหน้าที่ของมันโดยสภาพของมันเองอยู่แล้ว มันจึงเป็นความพร่องที่พร่องอยู่เป็นนิจโดยสภาพมันเองอยู่อย่างนั้น ก็โดยเนื้อหามันมันจึงไม่มีทางที่จะกลายเป็นอื่นไปได้หากเราหยั่งลึกลงไปให้ถึงความเป็นจริงตามธรรมชาติ ที่มันมีแต่เนื้อหาตามความเป็นจริงของมันอยู่อย่างนั้นในทางด้านเดียว และไม่มีวันที่จะเป็นไปในทางด้านอื่น ธรรมชาติมันจึงมิใช่ปรากฏการณ์ ธรรมชาติไม่ใช่เป็นอะไรที่มันหมายถึงความเป็นสิ่งสิ่งหนึ่ง และสิ่งสิ่งนั้นเราสามารถที่จะมีความรู้สึกกับมัน และจับฉวยมันเอามาเป็นส่วนส่วนหนึ่งในชีวิตของเรา ตามความต้องการและความปรารถนาของเราได้ ธรรมชาติมิใช่เป็นสิ่งที่เราต้องมีความต้องการ และมิใช่เป็นสิ่งที่จะต้องได้มันมา ธรรมชาติมันเป็นเนื้อหาที่เป็นความเป็นมันเองอยู่อย่างนั้น โดยมิใช่ความเป็นเนื้อหาที่ต้องอาศัยเหตุและปัจจัยใดๆ จึงจะมีความเป็นปรากฏการณ์ของธรรมชาติเกิดขึ้น ก็ธรรมชาตินั่นแหละคือธรรมชาติมันเป็นแต่เพียงเท่านี้ ไม่สามารถเป็นอย่างอื่นไปได้เช่นเดียวกัน เมื่อมันมิได้อาศัยอะไร มิได้อาศัยเหตุปัจจัยใด ๆ มันจึงมิได้เกิดจากอะไรกับอะไร มันจึงไม่มีรูปลักษณ์เกิดขึ้นที่จะสามารถเรียกมันได้ว่า "ธรรมชาติ"

ตามมโนภาพแห่งความเข้าใจของใครคนใดคนหนึ่ง ธรรมชาติมันเป็นของมันเองอยู่อย่างนั้น ธรรมชาติมันจึงเป็นเนื้อหาเดียวกับมันเองมาโดยตลอด โดยไม่สามารถหาจุดเริ่มต้นแห่งความเป็นเนื้อหานี้ไปได้ โดยไม่สามารถหาความเป็นที่สิ้นสุดแห่งความเป็นเนื้อหานี้ไปได้เช่นกัน เมื่อมันเป็นของมันอยู่อย่างนั้นโดยไม่มีความแปรผันเป็นอย่างอื่น มันจึงเป็นความสมบูรณ์พร้อมโดยตัวมันเองแต่ถ่ายเดียว มันเปรียบเสมือนเป็นเหรียญที่ไม่ว่าจะพลิกไปทางไหน ก็จะเจอแต่เหรียญด้านที่มีความเป็นธรรมชาติอยู่อย่างนั้น เป็นเหรียญที่ทุกด้านล้วนแต่มีความเสมอภาคกัน มีความเหมือนกันไม่แตกต่างในเนื้อหาในคุณลักษณะของมันเอง ธรรมชาติจึงเป็นโลกแห่งความสมบูรณ์พร้อม เป็นความสมบูรณ์ในความเสมอต้นเสมอปลาย ในความเป็นเนื้อหาของมันอยู่อย่างนั้น เป็นโลกแห่งธรรมชาติที่มีพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ และเหล่าบัณฑิตทั้งหลายผู้ที่มีความสามารถและมีสติปัญญาอันรู้แจ้ง ได้สถิตอยู่ในทุกอณูธรรมธาตุ แห่งผืนแผ่นดินในความเป็นพุทธะนั้น



วันศุกร์ที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

วันที่ฉันเข้าโรงพยาบาลบ้า




ชายหนุ่มไม่อายที่จะบอกว่า ตัวเองเป็นศิษย์เก่ารั้วหลังคาแดง ทุกวันนี้เขาพูดคุยสนทนาได้เป็นปกติ และบอกด้วยว่า โรงพยาบาลบ้า ช่วยต่อชีวิตให้เขาทันทีที่บานประตูไฟฟ้าเลื่อนปิด บรรยากาศวิเวกวังเวงของ หลังคาแดงยาม ค่ำคืน ชวนให้ใจนึกหวาดหวั่นผมคิด ถูกหรือเปล่าที่เข้ามาในนี้ ? ชายหนุ่มในชุดคนไข้หันมารำพึงกับเจ้าหน้าที่ ไม่กี่เดือนก่อนหน้านั้นหน้าที่อยู่บ้าน ดูแลแม่ ไปวัน ๆ คล้ายจะเป็นอาชีพเดียวในชีวิต ถึงวันที่เสียแม่ไปอย่างไม่มีวันกลับ อีกหนึ่งชีวิตที่เหลืออยู่ยิ่งกว่าตายทั้งเป็น ทั้งวันเขาจมอยู่กับโลกใบเก่า เอาแต่โทษตัวเองนึกเสียใจไปต่าง ๆ นานา หนักเข้ากินไม่ได้นอนไม่หลับ ใจคิดแต่อยากจะหมดทุกข์หมดโศกหลุดไปให้พ้น ๆ จากโลกใบนี้ -1 - มาที่นี่ผมรู้สึกเหมือนได้ ต่อชีวิตนะชายคนเดียวกันค่อย ๆ เล่าย้อนลำดับเหตุการณ์ หลังจากหอบสังขารนั่งรถมาพบหมอเพียงลำพัง ในขณะที่คนไข้หลายคนมาที่นี่เพราะญาตินำตัวมาส่ง ช่วงนั้นอึดอัดมาก คิดว่าต้องหาใครสักคนมาช่วย จะพูดคุยกับพี่น้องด้วยกันคงลำบาก ก่อนจะมาที่นี่ผมเคยไปหาหมอดัง ๆ แพง ๆ แล้วสู้ไม่ไหว เรื่องบางเรื่องในชีวิตที่โรงเรียนไม่เคยสอน เขาเพิ่งได้ค้นพบและเรียนรู้มันตอนโตเป็นผู้ใหญ่วัยกลางคน จาก

ประสบการณ์ครึ่งเดือนของชีวิต ผู้ป่วยใน ที่สถาบันจิตเวชศาสตร์สมเด็จเจ้าพระยาด้วยอาการป่วยเป็นโรคซึมเศร้าขั้น รุนแรง ก่อนจะย้ายมาเป็นคนไข้ไป - กลับเข้าออกโรงพยาบาลรักษาตัวติดต่อกัน 2-3 ปี ค่อยๆ ลดความถี่เหลือเพียงพบแพทย์เพื่อติดตามอาการทุก ๆ 2 เดือนตัวเขามีอะไร เปลี่ยนแปลงไปบ้างจากวัน นั้น? อย่างน้อยๆ ชุดที่สวมวันนี้ก็ไม่ใช่ชุดคนไข้ แต่เป็นเสื้อเชิ้ตสีสบายตาที่บรรจงเลือกมาจากบ้าน อย่างน้อยมีรอยยิ้มบนใบหน้าไม่ใช่มีแต่รอยน้ำตาเหมือนอย่างที่เคยเป็น แม้โลกที่เจอข้างนอกจะไม่ได้มีราบรื่นแฮปปี้เอนดิ้งไปทุกอย่าง ยังมีหลายคนที่จินตนาการภาพคนไข้ ในหลังคาแดง แล้วนึกถึงภาพมนุษย์นัยน์ตาขวาง ผมเผ้ายุ่งเหยิง วิ่งพล่านอาละวาดไปทั่ว หรือไม่ก็นั่งยิ้มหัวเราะร่าอย่างไม่มีเหตุผลจริง ๆ แล้วไม่ใช่ทุกคนที่จะป่วยหนักเช่นนั้น ช่วงนั้นผมรู้สึกตัวหมดนะ อาจจะมีบางส่วนเบลอ ๆ ไปบ้าง ได้เข้าไปอยู่ในนั้นเหมือนเปิดโลกทัศน์อีกใบ เหมือนผมได้มาพักผ่อนได้มีเพื่อนคุย และรู้ว่าคนเราไม่ได้ป่วยหนักกันทุกคน สองสัปดาห์ที่นั่นช่วยให้ผมลืมเหตุการณ์เดิม ๆ ไปได้บ้าง

กรณีของผู้ป่วยที่มีความเสี่ยง จะคิดสั้น ทำร้ายตัวเอง เช่นเดียวกับชายที่นั่งคุยกับเราในวันนั้น เป็นหนึ่งในอาการป่วยที่แพทย์จะวินิจฉัยให้รับเข้ามาเป็น "ผู้ป่วยใน" พักฟื้นฟูสภาพจิตในโรงพยาบาล จนกว่าจะแน่ใจว่าไว้ใจได้ ถึงจะอนุญาตให้กลับบ้าน และรักษาแบบไป-กลับ เรามีคนไข้ในประมาณ 500 เตียง ซึ่งมักเต็มตลอด และบางครั้งก็อาจจะล้น" นพ.สินเงิน สุขสมปอง รักษาราชการแทนผู้อำนวยการสถาบันจิตเวชศาสตร์สมเด็จเจ้าพระยา กล่าวแม้ความแออัดจะลดลงเยอะกว่าหลายสิบ ปีก่อนที่เคยมียอดคนไข้ในทะลุขึ้นไป เกือบ 2,000 คน เพราะมีการเจรจาทำความเข้าใจ สร้างการยอมรับให้สามารถ "จำหน่าย" ผู้ป่วยหลายรายกลับคืนสู่ครอบครัวและสังคม แต่ก็ยังหลงเหลือคนไข้ "ค้าง วอร์ด" อีกหลายสิบรายอยู่ในโรงพยาบาล รุ่นเก่าแก่ที่สุดที่ยังมีชีวิตเข้ามาอยู่ที่นี่ตั้งแต่ราวๆ พ.ศ.2500 หรือกว่า 50 ปีที่แล้ว ถูกญาติมาส่งทิ้งไว้ตั้งแต่เป็นสาวๆ จนเดี๋ยวนี้กลายเป็นคุณยายที่อยู่ในชุดคนไข้ โดยทั่วไปแล้ว คนไข้จะรักษาตัวอยู่ในโรง พยาบาลเฉลี่ยคนละ 3-4 สัปดาห์ ขึ้นอยู่กับความมากน้อยของอาการ บางรายอาจต้องอยู่นานหลายเดือน โดยเฉพาะคนไข้ที่มีอาการซึมเฉยและแยกตัว บ่อยครั้งที่พบว่ากว่าคนไข้หรือครอบ ครัวจะรู้ว่า "ป่วยทางจิต" และมาถึงโรงพยาบาลก็ต่อเมื่อมีอาการ "ชัด"แล้ว บางคนประสาทหลอนว่ามีคนจะมาทำร้ายหนักเข้าถึงขั้นคลุ้มคลั่ง อาละวาดทำลายข้าวของ ทำร้ายตัวเอง ทุกวันนี้แทบจะพูดได้ว่า 100 เปอร์เซ็นต์ของคนไข้ที่เข้าโรงพยาบาล จะใช้การรักษาด้วยยาเป็นหลักควบคู่กับฟื้นฟูจิตใจผ่านกิจกรรมกลุ่มบำบัดแต่ในรายที่อาการหนักมากๆ เช่นผู้ป่วยคลุ้มคลั่ง ก้าวร้าวรุนแรง นพ.สินเงินเล่าว่า โรงพยาบาลจะต้องจำกัดพฤติกรรมคนไข้ด้วยการผูกมัด หรือแยกไปอยู่ในห้องที่จำกัดบริเวณ เพื่อไม่ให้ผู้ป่วยสามารถทำร้ายคนอื่นร่วมกับวิธีการใช้ยา

แต่ถ้าความร่วมมือในการกินยา ไม่ดี ทีมแพทย์และพยาบาลก็อาจจำเป็นต้องใช้การฉีดยา รวมไปถึงการรักษาด้วยกระแสไฟฟ้าที่ติด ไว้ที่ขมับสองข้าง ซึ่งจะช่วยทำให้อาการของคนไข้สงบเร็วขึ้น หมอยังเล่าให้ฟังถึงเคสหนึ่งที่น่าสนใจและเป็นความภูมิใจ คือเรื่องราวของชายเสียสติไม่ทราบชื่อวัน ๆ เร่ร่อนอยู่ใต้สะพานลอย จนไปก่อความเดือดร้อน โดนตำรวจพามาส่งในสภาพเนื้อตัวสกปรกมอมแมมโรงพยาบาลจับมาตัดผมเผ้า ขัดสีฉวีวรรณ ให้ยารักษาอยู่นานหลายเดือนจนเริ่มฟื้นฟูความจำ จากอาการซึมเฉย เริ่มจำได้และเล่าถึงโรงเรียนที่เขาเคยเรียนสมัยเด็ก ๆ จนโรงพยาบาลติดต่อไปพบกับครอบครัวผู้ป่วยที่จ.สุราษฎร์ธานี ทางบ้านดีใจมากรีบมารับตัวกลับบ้านหลังจากลูกชายหายออกจากบ้านไป 2 ปีจนคิดว่าเสียชีวิตไปแล้ว คนไข้ที่เคยคลั่งแล้วหายจริง ๆ มีเยอะมาก หายในที่นี้มีหลายระดับหายแล้วเรื้อรัง หายแล้วมีโอกาสเป็นซ้ำหายแล้วกลับไปเหมือนเดิม แต่ถ้าพูดถึงการรักษาจนอาการดีขึ้นถึงขั้นกลับไปใช้ชีวิตอยู่ในสังคมได้มี เยอะมากเรียกว่าเกือบจะ 100 เปอร์เซ็นต์ มีน้อยมากที่ยิ่งรักษาไปแล้วอาการไม่ดีขึ้น บนชั้น 3 อาคารวิจัยภายในสถาบันจิตเวชศาสตร์สมเด็จเจ้าพระยา ที่นั่นมีอวัยวะส่วน "สมอง"ที่ ถูกผ่าออกจากร่างไร้วิญญาณของผู้ป่วยจิตเวช ถูกนำมาดองไว้ในโหลแก้วนับสิบๆ โหลสำหรับศึกษาเปรียบเทียบความผิดปกติของสมอง ภายในพิพิธภัณฑ์ "สมองมนุษย์" ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย แต่สำหรับโรคจิตบางประเภทถึงจะผ่าสมองออกมาดู ก็อาจไม่พบสิ่งผิดปกติอะไร นพ.สินเงิน เล่าว่า นอกจากสาเหตุโรคทางกายที่ส่งผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงทางสมองจนเกิดอาการทาง จิต เช่น โรคลมชัก ไข้มาเลเรียขึ้นสมอง ฯลฯ ปัจจุบันมาถึงยุคที่ทางการแพทย์เชื่อ กันว่า สาเหตุสำคัญของอาการโรคจิต เกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงที่ผิดปกติของสารชีวเคมีในสมอง เช่น ในผู้ป่วยอาการโรคซึมเศร้าที่พบว่ามีสารชีวเคมีในสมองที่เปลี่ยนแปลง ถ้าถามว่าอะไรคือสาเหตุที่ทำให้เกิดความวิปริตของสารเคมีในสมอง คุณหมอสินเงินตอบว่า มาได้จากทั้งสภาพแวดล้อม ภาวะความเครียด และต้องมองย้อนให้ลึกไปถึงทุกๆ องค์ประกอบ เช่น พื้นฐานจิตใจที่หล่อหลอมคนๆนั้นตั้งแต่เด็กซึ่งเกี่ยวข้องตั้งแต่พื้นฐานการเลี้ยงดู แม้กระทั่งประสบการณ์ในรั้วโรงเรียน ในทางการแพทย์เชื่อว่า เด็กที่โตขึ้นมาจากการเลี้ยงดูที่ขาดการฝึกทักษะให้ปรับตัวเข้ากับการ เปลี่ยนแปลงของสิ่งแวดล้อม หรือพูดภาษาง่าย ๆ ว่า จิตใจไม่ยืดหยุ่น จะมีแนวโน้มของการป่วยทางจิตเวชได้ง่าย สัมพันธภาพระหว่างตัวเรากับคนรอบข้าง ก็เป็นอีกตัวที่ช่วยยึดโยงชีวิต จิตแพทย์คนเดิม เปรียบเทียบว่าคนเราเหมือนของที่ถูกยึดโยงไว้ด้วยเชือกหลายเส้นเชือกแต่ละเส้นหมายถึงความสัมพันธ์กับผู้คนที่น่าเป็นห่วง คือ ในสภาพสังคมต่างคนต่างอยู่ยุคปัจเจกนิยม ดูเหมือนเส้นยึดโยงระหว่างเราแต่ละคนจะลดน้อยลงจนเหลือน้อยเส้น

มีคนไข้จำนวนไม่น้อยที่ผ่านพ้น ออกจากรั้ว"หลังคาแดง" ได้เรียนรู้เรื่องใหญ่ หลักสูตรการใช้ชีวิตที่โรงเรียนไม่เคยสอน จนข้ามผ่านพายุลูกใหญ่เพื่อจะพบกับ "รุ้งหลังฝน" ในชีวิตอีกครั้ง โรงพยาบาลกลางวัน หรือที่คนที่นี่เรียกกันติดปากว่า "ตึกเดย์" เป็นเหมือนสถานที่ ฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ป่วยด่านสุดท้าย ก่อนที่พวกเขาจะสำเร็จการศึกษา กลับออกไปใช้ชีวิตในสังคมภายนอก นพ.นรวีร์ พุ่มจันทร์ หัวหน้ากลุ่มงานโรงพยาบาลกลางวัน เล่าว่า ในตึกเดย์จะไม่มีการเรียก "ผู้ป่วย" แต่จะเรียกทุกคนว่า "สมาชิก" กิจกรรมที่นี่จะผสมผสานระหว่างโรงเรียนกับโรงพยาบาล มีการจัดกิจกรรมทั้ง 4 ด้านที่จำลองการใช้ชีวิต ทั้งการเล่น การเรียนรู้ การเข้าใจอารมณ์ความรู้สึก การปรับตัวใช้ชีวิตในสังคม และกิจกรรมฝึกอาชีพ ทำเหมือนกับตารางเรียน มีช่วงพักรับประทานอาหาร มีเวลาว่างส่วนตัวได้ปรึกษาพูดคุยเรื่องที่ไม่สบายใจ เป็นความภูมิใจลึก ๆ สำหรับคุณหมอที่ทำงานด้านจิตเวชมา 17 ปี รวมถึง อำพัน จารุทัสนางกูร หัวหน้าพยาบาลโรงพยาบาลกลางวัน ที่ทำงานอยู่กับผู้ป่วยที่นี่มาร่วมๆ 28 ปี ที่สามารถช่วยเหลือผู้ป่วยให้หวนกลับคืนสู่สังคมคนปกติไปนับร้อยคน วันนี้จากที่เห็นเขาหน้าเครียด ๆ เข้ามาหามาคุยกับเราสักพักเห็นเขากลับมายิ้มได้ เรารู้สึกโล่งใจเห็นเขามีความสุขเราก็พลอยสุขใจตามไปด้วยทุกวันนี้ถึงเขาจะออกไปแล้วก็ยังกลับมาเยี่ยมเยียน หลังจากก้าวออกจากโรงพยายาล กลับไปใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างปกติ เขาใช้ชีวิตเปลี่ยนไปมากน้อยแค่ไหน? อดีตผู้ป่วยชายคนเดิม เล่าว่า ทุกวันที่ตื่นขึ้นมาเขาจะต้องคิดว่าวันนี้จะทำอะไร ใช้ชีวิตทุกวันอย่างมีเป้าหมาย ดำรงตนอยู่ได้ และพยายามหากิจกรรมให้ตัวเองไม่ฟุ้งซ่าน ผมทุกข์น้อยลง แต่คงไม่ถึงขั้นใสบริสุทธิ์ มีหลายอย่างคอยเตือนใจเรา ใจเย็นและฟังคนอื่นมากขึ้น บางครั้งแค่เดินถอยออกจากเหตุการณ์ตรงนั้นมันง่ายกว่าที่เราจะพร้อมชน...ทั้งคู่ในฐานะเจ้าของไข้ยังมาร่วมนั่งเป็นกำลังใจข้าง ๆ อดีตผู้ป่วยชายที่กลับมาแบ่งปันเรื่องราว หลังก้าวเดินออกจากตึกเดย์ไปใช้ชีวิตเหมือนคนทั่ว ๆ ไปมาเกือบปี

สมัยก่อนความทุกข์มันเกาะผมทั้งวันแต่ตอนนี้มาเป็นแบบระลอกคลื่นเวลาที่ความทุกข์มาผมจะไม่หน่วงไว้ ไม่ให้มันอยู่กับเรานานขึ้น ต้องมีวิธีที่จะหยุดมันด้วยการไปทำอย่างอื่น แน่นอนว่า กำลังใจและความเข้าใจจากสังคม ครอบครัวและคนรอบข้าง เป็นสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับผู้ป่วย"ทางใจ" แต่ถ้าเราหากำลังใจเหล่านั้นไม่เจอ แทนที่จะรอคอยให้ใครมาหยิบยื่นให้ ทางที่ดีที่สุดนั่นคือเราต้องให้กำลังใจตัวเอง และหากำลังใจเหล่านี้จากตัวของเราเอง จะมืดสักกี่ด้าน ย่อมผ่านพ้นได้หากตนเป็นที่พึ่งแห่งตน

120 ปีหลังคาแดง

สถาบันจิตเวชศาสตร์สมเด็จ เจ้าพระยา เป็นโรงพยาบาลจิตเวชแห่งแรกของประเทศไทยและเป็นโรงพยาบาลหลวง แห่งที่สอง ย้อนกลับไปในสมัยพระบาทสมเด็จจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้าง "โรงพยาบาลคนเสียจริต" ขึ้นที่ตำบลปากคลองสาน ฝั่งธนบุรี เพื่อให้การบำบัดรักษาผู้ป่วยทางจิตโดยเฉพาะ และใช้วิธีการรักษาแบบสมัยใหม่ตามอย่างประเทศตะวันตก โรงพยาบาลคนเสียจริตเปิดดำเนินการครั้งแรกเมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2432 จึงถือเป็นวันสำคัญ เป็นวันเริ่มแรกของงานสุขภาพจิตในประเทศไทย ซึ่งก้าวสู่การครบรอบ 120 ปี ในปีนี้ นอกจากนี้ในปีนี้ยังถือเป็นวาระครบ รอบ 100 ปี ศ.นพ. ฝน แสงสิงแก้ว ผู้ได้รับการยกย่องว่าเป็นบิดาแห่งจิตเวชศาสตร์ไทย และเป็นผู้บุกเบิกงานด้านสุขภาพจิตของประเทศไทย ในสมัยก่อนเมื่อใครเป็นโรคจิต หรือโรคบ้า ส่วนใหญ่ ก็จะนึกถึง ศ.นพ.ฝน จนมีสำนวนว่า "หมอฝนถามหา" สมัยก่อนชาวบ้านมักจะเรียกว่า "โรงพยาบาลปากคลองสาน" "โรงพยาบาลบ้า" หรือ "หลังคาแดง" ซึ่ง ศ.นพ.ฝน แสงสิงแก้ว เป็นบุคคลแรกที่ได้ เปลี่ยนมาใช้นาม "โรงพยาบาลสมเด็จเจ้าพระยา" ในปีพ.ศ. 2497 โดยมีเจตนา เพื่อลดทัศนคติด้านลบของประชาชน ที่มีต่อผู้ป่วยจิตเวช ต่อมาในวันที่9 ตุลาคม 2545 โรงพยาบาลสมเด็จเจ้าพระยาได้เปลี่ยนชื่อเป็น สถาบันจิตเวชศาสตร์สมเด็จเจ้าพระยาตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา


สงวนลิขสิทธิ์ภาพถ่าย ห้ามทำซ้ำ เผยแพร่ 

วันที่ฉันเข้าโรงพยาบาลบ้า

ขอให้ปลอดภัยโดยธรรม




2,600 ปีที่ผ่านมา บุรุษหนึ่งได้ประกาศชัยชนะต่อกิเลส ซึ่งเป็นการประกาศอิสรภาพของมวลมนุษยชาติว่ามนุษย์พ้นทุกข์ได้เพราะการฝึกฝน โดยไม่ต้องอ้อนวอนขอ มหาบุรุษนั้นมีพระนามว่า องค์สมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า และเพื่อเป็นการเฉลิมฉลองพุทธชยันตี 2,600 ปี แห่งการตรัสรู้ธรรมขององค์สมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า (หรือ 26 ศตวรรษ) ในระหว่างวันวิสาขบูชา 2554 – วิสาขบูชา 2555 (2555 เป็นปีที่ครบ 2,600 ปีแห่งการตรัสรู้ธรรม) พร้อมกับชาวพุทธทั่วโลก เสถียรธรรมสถานจึงใช้เวลาตั้งแต่ปี 2553 จนถึงปี 2555 เตรียมการทำงานโดยใช้งานเป็นฐานแห่งการภาวนา โดยมองว่าเป้าหมายของงานคือการประสบความสุขจากการทำงานที่ได้ลดตัวตน และเพราะตัวตนเล็ก งานจึงใหญ่ สมดังที่ ‘พ่อ’ สอนไว้ว่า ศักยภาพของมนุษย์ที่จะต้องไปให้ถึงก็คือ การใช้โอกาสในการเกิดนี้เป็นการเกิดครั้งสุดท้าย ภพ ชาติ แห่งทุกข์ จะไม่มีแก่เรา เพราะ...อวิชชาไม่มี ทุกข์จะมีได้อย่างไร จึงขอ

เชิญชวนทุกคนให้กันร่วมเฉลิมฉลองพุทธชยันตี 2,600 ปี แห่งการตรัสรู้ธรรมขององค์สมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่พระองค์ทรงงานอย่างมีพระมหากรุณายิ่งต่อสรรพสัตว์ มนุษย์ และเทวดาทั้งหลายตลอด 45 พรรษา ก่อนเสด็จดับขันธ์ปรินิพพานมานานถึง 2,554 ปี เมื่อนับรวมจากวันที่พระองค์ทรงตรัสรู้ เวลาที่ยาวนานถึง 2,600 ปี การสืบต่อพระพุทธศาสนาไม่เคยสิ้นผู้บรรลุธรรม ขอจงใช้กาลอันเป็นมหามงคลนี้ ท้าทายการเกิดของตัวเราที่ไม่สูญเปล่า และร่วมกันทำมหากุศล ทำงานรับใช้โลก ด้วยทุนของชีวิต คือจิตที่ไม่ขุ่นมัว สงบ เย็น เป็นประโยชน์ อย่างไม่เลือกปฏิบัติ และเมื่อวันอังคารที่ 17 พฤษภาคม 2554 ซึ่งตรงกับวันวิสาขบูชา เสถียรธรรมสถานได้จัดให้มีการแถลงข่าวงานพุทธชยันตี 2,600 ปี 26 ศตวรรษ แห่งการตรัสรู้ธรรมขององค์สมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ขึ้นระหว่างเวลา 9.30 น. ถึง 11.00 น. ณ อาคารสาวิกาสิกขาลัย